วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 7 นอกห้องเรียน

Learning Log
ครั้งที่ 7
สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน
ถึงแม้ว่าการพูดภาษาอังกฤษอาจจะไม่ต้องคำนึงถึงหลักไวยากรณ์มากนัก แต่หลักในการใช้ภาษาและการเขียนโครงสร้างของประโยคภาษาอังกฤษที่ถูกต้องก็ยังมีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะในการเขียน ไม่ว่าจะการเขียนจดหมายราชการ การเขียนรายงาน ข่าวสารที่สำคัญ ๆ เป็นต้น หากเขียนโครงสร้างของประโยคไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการแปลความหมายและการสื่อสารที่ผิดพลาดได้ เช่น  คำนำหน้านามหรือ Article คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะอาจจะเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องเล็ก จะเขียนหรือไม่เขียนก็ได้ แต่ดิฉันเห็นว่า คำนำหน้านามหรือ Article นั้นมีความสำคัญในการเขียนประโยค เพราะเพียงแค่จุดเล็กจุดนี้ก็สามารถทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์ได้

         Article คือ คำนำหน้านาม ซึ่งมีทั้งหมด 3 ตัว คือ “a/ an/ the” ทั้งสามตัวนี้สามารถแบ่งตามการใช้อย่างกว้าง ๆ ได้ 3 แบบ คือ ใช้ a/ an นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ไม่เฉพาะเจาะจง และใช้ “the” นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์หรือพหูพจน์ และคำนามนับไม่ได้ที่ชี้เฉพาะเจาะจง โดยมีรูปแบบการใช้ Article ดังนี้ (a/an/the) + noun จากการใช้ a/an/the ในรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ดิฉันจะขออธิบายหลักการใช้เพิ่มเติม เริ่มด้วยประการแรกคือ หลักการใช้ Article “a/an” มีดังนี้ 1. ใช้กับคำนามนับได้ (Countable nouns) ที่เป็นรูปเอกพจน์( Singular ) เท่านั้น เช่น Would you like a cup of tea?  เราสามารถใช้ a นำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและใช้ an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ (a , e , i , o , u) เช่น an apple, an egg , an ink, etc. และ ตัว h ที่ออกเสียงสระ เช่น an honor, an heir etc.

                2. ใช้กับคำนามทั่วไปไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น Wandee sat down on a bench. , A strange thing happened to me this morning. , 3. ใช้Article  a/ an ที่แสดงอาชีพ เช่น an architect, an accountant, a soldier, a teacher, an engineer, a janitor เป็นต้น  เช่น  Dr.Wanchai is a researcher. , 4. ใช้ Article a/an กับคำนามที่กล่าวถึงเป็นครั้งแรก เช่น Have you had an accident? , I am looking for a job. ซึ่งเมื่อกล่าวถึงคำนามนั้นเป็นครั้งที่สองให้เปลี่ยน Article “a/an” เป็น “the” เช่น The accident took place on Silom road. , The job that I was looking for is interesting. , 5. ใช้  Article a/an กับนามนับได้ที่มีความหมายว่า หนึ่งเช่น An iguana is an animal. , Tony is a pessimist.
                6. ใช้ Article a/an เอกพจน์ที่ตามหลัง verb to be เช่น That house is for sale. It is a bargin. , The house needs painting. It is in a bad condition., 7. ใช้ Article a/an กับอาการป่วยทั่วไป เช่น  a sore throat , a fever, a toothache, a headache, a cough เช่น I’m not feeling well today. I have a sore throat. , และ 8. ใช้ Article a/an กับสำนวนหรือวลีต่าง ๆ เช่น have a good time, have a chat, it’s a pity, in a hurry, it’s a shame เช่น We had a chat while we were waiting a flight to London. ประการที่สองคือ หลักการใช้ Article “the” ดังนี้ 1. ใช้ the กับคำนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น This was a terrible journey. , The plane was very crowed., Bangkok is the capital of Thailand., 2. ใช้ the กับคำนามที่นับได้เอกพจน์ที่บอกชนิดหรือประเภท เช่น The orchid is Jane’s favorite flower., The violin is my favorite instrument.
                3. ใช้ the กับคำนามที่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) เปรียบเทียบขั้นสูงสุด เช่น What is the longest road in Thailand?, He is the tallest student in this class., 4. ใช้ the นำหน้าคำคุณศัพท์ (adjective) ซึ่งทำหน้าที่เป็นคำนาม เช่น the poor, the rich, the blind, the disabled, the dark, the wounded, the young, the dead เป็นต้น เช่น This is the parking lot for the disabled., The youth campaigned to stop smoking cigarettes. , 5. ใช้ the กับคำที่แสดงเชื้อชาติ เช่น the British, the Spanish, the Dutch, the Japanese, the French, the Swiss เช่น The Chinese and the Japanese are diligent. ซึ่งคำนามที่แสดงเชื้อชาติเหล่านี้จะลงท้ายด้วย s, sh, ch หรือ se ซึ่งเมื่อเติม the ข้างหน้าจะมีความหมายเป็นพหูพจน์ แต่ถ้าเป็นคำที่ไม่ได้ลงท้ายแบบนี้ เมื่อเติม the จะต้องเติม s ด้วย เช่น the  Russians, the Italians, the Arabs, the Thais
                6. ใช้ the กับคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว หรือผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจถึงความหมาย เช่น The student was late again yesterday., My mother went to see the doctor. , 7. ใช้ the กับคำนามที่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ ซึ่งอาจจะเป็นชื่อประเทศบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีคำว่า republic, kingdom, states และที่ลงท้ายด้วย s เช่น  the German Federal Republic, the Republic of Ireland, the United Kingdom, the United Arab Emirates, the Netherlands, the Philippines หรืออาจเป็นชื่อเกาะหรือหมู่เกาะที่เป็นพหูพจน์ เช่น the Bahamas, the British Isles, the Canaries หรืออาจจะเป็นชื่อเทือกเขาหรือภูเขาที่เป็นพหูพจน์ เช่น the Andes, the Alps, the Rockies
                จากที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับชื่อทางภูมิศาสตร์ยังมีเพิ่มเติม คือ อาจจะเป็นชื่อแม่น้ำ ลำคลอง ทะเล ทะเลทราย แหลม อ่าว ช่องแคบ มหาสมุทร คาบสมุทร เช่น the Amazon, The Atlantic , the Bering Strait , the Chao Phraya (River), the Cape of Good Hope, the Caribbean Sea, the Nile (River), the Mississippi (River), the Pacific Ocean หรืออาจเป็นชื่อโรงแรม ภัตตาคาร ธนาคาร โรงละคร พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด เป็นต้น เช่น the Oriental Hotel, the Hilton Hotel, the National Theater, the Central Library, the British Museum, the Tate Gallery หรืออาจเป็นชื่ออาคาร สถานที่ ที่มี of อยู่ในชื่อ เช่น the Bank of England, the House of Parliament, the Tower of London, the Great Wall of China หรืออาจเป็นชื่อหนังสือพิมพ์ สำนักพิมพ์ เช่น the Bangkok Post, the Nation, the Times, the New York Tribune
                8. ใช้ the กับคำนามที่มีเพียงสิ่งเดียว เช่น the sun, the moon, the world, the earth, the sea, the sky, the universe, the ground, the country, the environment, 9. ใช้กับคำนามที่เป็นเครื่องดนตรี เช่น the piano, the guitar, the violin, the drum, the flute, the trumpet เป็นต้น, 10. ใช้กับการเปรียบเทียบขั้นกว่าเพื่อแสดงว่า 2 สิ่ง หรือ 2 เหตุการณ์เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปในทำนองเดียวกัน เช่น The more we read, the more we know., 11. ใช้นำลำดับเลขที่ เช่น the first, the second, the third, the fourth, the fifth, the twentieth, และ 12. ใช้นำหน้าสำนวนบอกเวลา เช่น at the moon, at the night, the day after tomorrow, in the morning, in the afternoon, in the evening
                นอกจากนี้ Article สามารถละได้ในกรณีดังต่อไปนี้ กรณีที่หนึ่ง ไม่ใส่หน้าคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Nouns) เช่น silk, tea, paper, pepper, blood, money, hair, experience แต่อย่างไรก็ตามสามารถใส่ the, some, any, much, this, his ได้ เช่น Jongin wanted to buy some gold., We bought some paper. แต่ในบางกรณีนามที่นับไม่ได้อาจจะมี Article a, an นำหน้า เพราะมีความหมายแตกต่างกันออกไป เช่น

 a paper = She bought a paper. / some paper  = She bought some paper. , a hair = There was a hair in my porridge./ hair  = Jinny has beautiful hair.
                กรณีที่สอง ไม่ใส่ Article the หน้าคำนามพหูพจน์ที่กล่าวถึงทั่ว ๆ ไป เช่น Children learn from playing and observing., Students should obey teachers and their parents. จะเปรียบเทียบในเมื่อมีการชี้เฉพาะเจาะจงต้องใส่ the เช่น The children in this community can speak English and Chinese fluently. กรณีที่สาม ไม่ใส่ the นำหน้าคำนามที่เกี่ยวกับสถานที่ที่มีความหมายเพื่อกิจกรรมอันเป็นปกติวิสัย เช่น hospital (ไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรค) , prison , (ถูกจับขังคุก) , school ( ไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ), college , university (ไปวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษา) แต่ถ้ามี “the” หน้าคำเหล่านี้แสดงว่าไม่ได้มีความหมายตามกิจกรรมเฉพาะเหมือนความหมายที่กล่าวมาข้างต้น เช่น John goes to church on Sunday. ( จอห์น ไปโบสถ์เพื่อสวดมนต์ทุกวันอาทิตย์)
                กรณีที่สี่ ไม่ใส่ the หน้าสำนวนต่อไปนี้ go to (ไปนอน), be in bed (เข้านอน), go to work (ไปทำงาน), be at work ( อยู่ที่ทำงาน), start work (เริ่มงาน) , finish work (เลิกงาน), go home (ไปบ้าน), get home (เข้าบ้าน), stay at home (อยู่บ้าน), be at home (อยู่ที่บ้าน), go to sea ( ไปเที่ยวทะเล) เช่น I am sleepy, I’m going to bed. ( ฉันง่วงแล้ว ฉันจะไปนอน), My boss will be at work around 9 o’clock. ( เจ้านายของฉันจะอยู่ที่ทำงานประมาณ 9 โมง) กรณีที่ห้า ไม่ใส่ the หน้าชื่อทางภูมิศาสตร์ เช่น ชื่อ หมู่บ้าน เมือง ประเทศ รัฐ ทวีป เช่น Bangkok, New York, Paris, Thailand, ชื่อเกาะเดี่ยว ๆ เช่น Phuket, Sicily, ชื่อภูเขาเดี่ยวๆ เช่น Doi Inthanon, Mount Everest, หรือชื่อทะเลสาบ เช่น Lake Constance, Lake Superior
                กรณีที่หก ไม่ใส่หน้าคำนามที่ตามหลัง ’s หรือ n. ที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น Mr. Somchai's house , my brother’s room, the city’s new theater, the world’s population, a good night’s sleep, a week’s holiday กรณีที่เจ็ด ไม่ใส่ the หน้าคำนามที่มีการแสดงความเป็นเจ้าของ (my, your, our, her, his, its, their) หรือคำนามที่มี ’s แสดงความเป็นเจ้าของของคำคุณศัพท์ (adjective) นำหน้าคำนาม (this, that, these, those), some, any, few, a few, most ฯลฯ อยู่ข้างหน้า เช่น This room is dirty. , Could you find any students in the meeting room? กรณีที่แปด ไม่ใส่ the หน้าชื่อโรค เช่น mumps, cholera, cancer, malaria, epilepsy, influenza, measles, rheumatism, tuberculosis เช่น Most children in Africa died of cholera.
กรณีที่เก้า ไม่ใส่ the หน้าชื่อวิชาและภาษา เช่น algebra, mathematics, history, economics, English, French, science , biology, engineering, geometry, linguistics, statistics เช่น The Thai language is more difficult than the English language. แต่คำนามที่เป็นชื่อภาษา ถ้านำไปใช้เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนาม ต้องมี “the” นำหน้า กรณีที่สิบ ไม่ใส่ the หน้าชื่อ เดือนวัน นอกจาก เดือนวันนั้นๆ มีลักษณะชี้เฉพาะ เช่น James and Catharine were married in 2004., James and Catharine married in the July of 2004. และกรณีที่สิบเอ็ด ไม่ใส่ the หน้าชื่อเกมหรือกีฬาต่าง ๆ เช่น soccer, football, tennis, basketball, badminton, chess เช่น Basketball is my favorite sports.

                คำนำหน้านามหรือ Article นั้นเป็นส่วนหนึ่งของประโยคที่มีความสำคัญ เพราะ Article “a/an/the” สามารถบอกได้ว่าคำนามในประโยคนั้นต้องการชี้เฉพาะเจาะจงหรือไม่ หรือเป็นการกล่าวในครั้งแรกหรือเคยกล่าวมาแล้ว ดิฉันมีความเข้าใจและทราบหลักการใช้ Article มากขึ้นว่าควรใช้ Article ตัวใดในการนำหน้าคำนามที่ปรากฏอยู่ในประโยค  นอกจากนี้ยังทำให้ทราบว่าโครงสร้างของประโยคส่วนใหญ่จะมี Article “a/an/the” นำหน้าคำนามเสมอ รวมทั้งมีความสำคัญต่อการแปล เพราะเมื่อแปลประโยคที่มี Article “a/an/the” จะทำให้ประโยคที่แปลมีความหมายชัดเจนมากขึ้น     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น