สิ่งที่ได้เรียนรู้
การถ่ายทอดตัวอักษร
(Transliteration)
ในปัจจุบันวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับการเรียนการสอน
และมีความจำเป็นมากที่ทุกคนจะต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
อย่างเช่นการศึกษาการถ่ายทอดอักษรจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษจะทำให้เราสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เราพบเห็นต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อป้าย ชื่อสถาบัน ชื่อตำบล หรือชื่ออำเภอ
การถ่ายทอดอักษรหมายถึง
การนำคำในภาษาหนึ่งมาเขียนด้วยตัวอักษรของอีกภาษาหนึ่งโดยพยายามให้การเขียนในภาษาใหม่นี้ถ่ายทอด
“เสียง” ของคำในภาษาเดิมให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้
การถ่ายทอดตัวอักษรมีบทบาทในการแปลจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งในกรณีต่อไปนี้
กรณีที่หนึ่งคือ เมื่อในภาษาต้นฉบับมีคำที่ใช้แทนชื่อเฉพาะของสิ่งต่าง ๆ เช่น
ชื่อคน ชื่อสถานที่ ชื่อแม่น้ำ ภูเขา หรือแม้แต่ชื่อสถาบันต่าง ๆ
และกรณีที่สองคือ เมื่อคำในภาษาต้นฉบับมีความหมายอ้างอิงถึงสื่อที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมที่ไม่มีในสังคมของภาษาฉบับแปลจึงไม่มีคำเทียบเคียงให้
(equivalent
word) เช่น คำที่ใช้เรียกต้นไม้ สัตว์ และกิจกรรมบางชนิด
ความคิดบางประเภทซึ่งมีในภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีในภาษาไทยเนื่องจากยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ขึ้น
ในกรณีเช่นนี้ผู้แปลอาจแก้ปัญหาได้สองประการคือ ประการที่หนึ่ง
ใช้วิธีให้คำนิยามหรือคำอธิบายที่บอกลักษณะตรงกับคำเดิมนั้น และประการที่สอง
สามารถใช้ทับศัพท์ไปได้เลย
ตัวอย่างจากกรณีข้างต้นเช่น คำว่า “football”
ซึ่งเมื่อจะถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอาจทำได้โดยให้คำนิยามว่า “ลูกกลม ๆ ทำด้วยหนัง” หรือใช้ทับศัพท์ว่า “ฟุตบอล” หรือเช่นคำว่า “supermarket” ซึ่งอาจใช้ “ร้านซึ่งขายทั้งของกินของใช้ประจำครัวเรือน”
หรือใช้คำเดิมว่า “ซูเปอร์มาร์เก็ต” โดยทั่ว ๆ ไปเรามักจะนิยมใช้คำเดิม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเขียนคำนั้นในฉบับแปลด้วยตัวอักษรของภาษาฉบับแปล
จากตัวอย่างข้างต้น
ในการทำเช่นนั้นผู้แปลควรยึดหลักปฏิบัติในการถ่ายทอดเสียงของคำดังต่อไปนี้ ข้อแรก
คือ ให้อ่านคำนั้นเพื่อให้รู้ว่าคำนั้นออกเสียงอย่างไร ประกอบด้วยเสียง (phone)
อะไรบ้างแล้วหาตัวอักษรในภาษาฉบับแปลที่มีเสียงใกล้เคียงกันมาเขียนแทนเสียงนั้น
ๆ ข้อที่สอง คือ ภาษาทุกภาษาจะมีเสียงพยัญชนะและสระตรงกันเป็นส่วนมาก
และผู้แปลจะหาตัวอักษรมาเขียนแทนได้เลย เช่น การใช้ “พ”
แทนเสียงแรกในคำว่า “Paul” เป็นต้น
จากประเด็นข้างต้นจะมีเสียงจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มีตัวอักษรที่แทนเสียงตรงกับในฉบับแปล
ในกรณีนี้ให้หาตัวอักษรตัวหนึ่งหรือ 2 ตัว
เรียงกันที่มีเสียงใกล้เคียงที่สุดมาเขียนแทน เช่น การใช้ “ธ”
แทนเสียงแรกของชื่อ “Thomas” และ “kh” แทน “ค” เป็นต้น
เสียงบางประเภทอาจจะไม่มีใช้ในอีกภาษาหนึ่งเลยหรือมีก็เทียบเคียงกันไม่ได้ เช่น
เสียงหนักเบา (stressed, unstressed) ในคำภาษาอังกฤษซึ่งไม่มีภาษาไทย
หรือมีเสียงวรรณยุกต์ (tone) ประจำพยางค์ซึ่งมีในภาษาไทยแต่ไม่มีในภาษาอังกฤษ
กรณีดังกล่าวไม่จำเป็นต้องคิดหาเครื่องหมายมาใช้ในการเขียน
ดังนั้น การถ่ายทอดเสียงของคำภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องหมายบอกเสียงหนักเบา
และไม่จำเป็นต้องใช้วรรณยุกต์เพื่อแทนเสียงสูงต่ำ ข้อที่สามคือ
เมื่อกำหนดตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่งแทนเสียงใดเสียงหนึ่งแล้วให้ใช้ตัวนั้นตลอดไป
อย่าเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทแปลบทเดียวกันต้องใช้หลักการถ่ายทอดอย่างเดียวตลอดไป
และข้อที่สี่ คือ
สำหรับการยืมคำศัพท์มาใช้โดยเขียนลงเป็นภาษาในฉบับแปล
ถ้าคำนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายให้วงเล็บคำเดิมในต้นฉบับไว้ด้วย
บัญชีต่อไปนี้มีไว้สำหรับผู้แปลระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษใช้เป็นแนวทางในการถ่ายทอดอักษร
คือ บัญชีที่หนึ่ง สำหรับการถ่ายทอดจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เช่น ตัวอักษรไทย คือ
ก ตัวอักษรอังกฤษ คือ ต้นพยางค์ k-, ท้ายพยางค์ –k เช่น กานดา – Kanda, ตัวอักษรไทย คือ ง
ตัวอักษรอังกฤษ คือ ต้นพยางค์ ng-, ท้ายพยางค์ –ng เช่น งาม – Ngarm, ทอง – Thong
จากการถ่ายทอดอักษรภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษนี้ทำให้ดิฉันได้ทราบการเทียบเคียงอักษรทั้งไทยและอังกฤษ
เมื่อดิฉันจะทอดเสียงภาษาไทยมาเป็นภาษาอังกฤษ
ดิฉันก็จะสามารถทำได้โดยง่ายและถูกต้องตามหลักการถ่ายทอดตัวอักษรอีกด้วย และที่สำคัญในการเรียนรู้การถ่ายทอดอักษรนี้ทำให้ดิฉันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการถอดตัวอักษรสิ่งที่ดิฉันพบเห็นในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น