Learning
Log
ครั้งที่
6
สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน
อาการหรือถ้อยคำที่คนคนหนึ่งแสดงให้อีกคนหนึ่งทราบความหมายของตนนั้นเรียกว่า
“ภาษา” ในภาษาสันสกฤตคำนี้แต่เดิมหมายถึง “คำพูด” แต่ในปัจจุบันความหมายของคำนี้ได้ขยายออกอย่างกว้างขวาง
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงกิริยาอาการด้วยกาย
เพื่อต้องการสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบถึงความต้องการของตนก็เรียกว่าเป็นภาษาได้ เมื่อมนุษย์ต้องติดต่อสื่อสารกันก็เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีภาษาและมีวิธีการสื่อสารระหว่างกัน
เมื่อมีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมนุษย์จะต้องใช้ภาษาสำหรับสื่อสารเชิงสังคม
ใช้ในการถ่ายทอดศิลปะวิทยาการและความรู้ ความคิด
ที่สามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจ
โดยภาษานั้นจะมีคำอยู่ 2 คำที่ทำให้เห็นภาพของภาษาได้ชัดขึ้นคือ
“จักษุภาษา” หมายถึง ภาษารับด้วยตา, คู่กับ “โสตภาษา” หมายถึง
ภาษารับด้วยหู
การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราในปัจจุบันย่อมใช้จักษุภาษาและโสตภาษาทั้งสองแบบผสมผสานกัน เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น แต่เดิมนั้นคำพูดจะมีน้อย แต่ขยายจำนวนเรื่อยมาตามความเจริญของมนุษย์ ภาษากิริยาอาการต่าง ๆ ต้องแสดงในกาลเทศะที่ผู้รับสารสามารถมองเห็นผู้ส่งสาร เมื่อใช้ตาดูแล้วไม่ได้ความสะดวกตามความต้องการก็จำเป็นต้องใช้หูฟังมากขึ้น เพราะผู้ส่งสารสามารถเปล่งเสียงและบัญญัติความหมายของเสียงนั้น ๆ ได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ในปัจจุบันเราใช้ตาดูภาษาและหูฟังภาษามากมายหลายประเภทสลับซับซ้อนกัน และผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถรับได้ทั้งทางตาและหูไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ ภาพยนตร์, เสียง, วิดีโอ, โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เมื่อการศึกษาของมนุษย์เจริญมากขึ้น
การเรียนการสอนต้องใช้ภาษามากขึ้นและทำให้ตัวภาษาได้รับการศึกษาค้นคว้าในหลายแง่มุมและหลายระดับความยากง่าย
โดยอาจจะแยกประเภทได้ว่ามีประเภทภาษาศาสตร์บริสุทธิ์ และภาษาศาสตร์ประยุกต์
แต่ละประเภทยังสามารถแตกแขนงออกไปได้อีกมากมาย ดังนี้ ภาษาศาสตร์บริสุทธิ์ คือ
การศึกษาเรื่องภาษา เป็นศาสตร์ที่มุ่งเพื่อความรู้เพียงส่วนเดียว
ไม่หวังเพื่อเอาไปใช้งาน เช่น ภาษาศาสตร์เชิงพรรณนา (Descriptive
Linguistics), ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical
Linguistics), ภาษาศาสตร์เชิงเปรียบเทียบ (Comparative
Linguistics) และ ฯลฯ ส่วนภาษาศาสตร์ประยุกต์ คือ
การศึกษาเรื่องภาษา เป็นศาสตร์มุ่งหมายนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น
การศึกษาเกี่ยวกับความหมายของภาษา (Semantics)
ภาษาศาสตร์แขนงต่าง ๆ
ส่วนมากจะศึกษาถึงโครงสร้างของภาษาว่าเป็นอย่างไร ศึกษาระบบเสียง ระบบคำ
ระบบการเรียงคำ ระบบความหมาย หรือศึกษาถึงเรื่องการกลายเสียง การเปลี่ยนแปลงคำ
ประวัติของคำ การกำเนิดภาษา การเปรียบเทียบภาษา เป็นต้น กล่าวโดยย่อ คือ การนำภาษามาวิเคราะห์จำแนกในแง่ต่าง
ๆ แต่การใช้ภาษาเป็นพฤติกรรมของมนุษย์อีกส่วนหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมาก
ได้มีการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งเรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า “Psychology
of Language” และในภาษาไทยเรียกว่า “จิตวิทยาฝ่ายภาษา”
ซึ่งหมายถึง
การศึกษาเรื่องราวการใช้ภาษาควบคู่ไปกับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น ภาษากับความคิดมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ภาษาพูดเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ชั่วขณะ ช่วยในเรื่องความสะดวกมาจนกระทั่งมนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าถึงขั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารอย่างถาวร
และส่งเสริมความคิดให้งอกงามนั้นต้องรู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรให้เป็นสัญลักษณ์แทนความหมายที่เกิดมาจากความรู้
ความคิด และประสบการณ์ ในคนรุ่นหลังถ่ายทอดไปยังคนรุ่นใหม่ดังจะเห็นได้ว่า ในอู่อารยธรรมสำคัญรุ่นแรกของโลกซึ่งได้สร้างสรรค์ความเจริญทางวัตถุและทางนามธรรมก็เป็นอู่กำเนิดตัวอักษร
เช่น ลุ่มแม่น้ำเหลือง ลุ่มแม่น้ำไนล์ จึงอาจกล่าวได้ว่า เพราะมีตัวอักษรจึงมีอารยธรรมเกิดขึ้น
ซึ่งตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในโลกจะปรากฏในชั้นเก่าแก่เป็นรูปภาพแท้ Pictograph
เพราะทำให้อ่าน เขียน เรียนง่าย
กลายเป็นลักษณะตัวหนังสือที่เลียนมาจากรูปภาพ เช่น
หนังสือจีนและตัวหนังสือชาติอื่น
การเรียนรู้ที่จะพูดและเขียนภาษาแม่ได้เป็นพฤติกรรมทางภาษาประเภทหนึ่ง
ความเข้าใจในเรื่องการเรียนภาษาแม่จะทำให้เข้าใจภาษาและความคิดมีความเกี่ยวพันกันและเป็นแนวคิดในการเรียนภาษาที่สองด้วย
มนุษย์จะเรียนภาษาแม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป
เพราะมนุษย์นั้นมีศักยภาพทางร่างกายในการเรียนภาษาแม่
โดยการเรียนนั้นจะเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ซึ่งการเรียนภาษามี 5 ลำดับขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่หนึ่ง คือ ขั้นปฏิกิริยา, ขั้นที่สอง คือ ขั้นเล่นเสียง, ขั้นที่สาม คือ
ขั้นเลียนเสียง, ขั้นที่สี่ คือ ขั้นเลียนเสียงผู้อื่น,
และขั้นที่ห้า คือ ขั้นพูดภาษาได้จริง ภาษาจะมีพัฒนาการไปพร้อม ๆ
กับพัฒนาการทางด้านสรีระด้านต่าง ๆ เช่น ปาก ลิ้น ฟัน และสมองส่วนภาษา
ภาษาและความคิดมีความสัมพันธ์กันและสำคัญต่อกันและกันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้
วิวัฒนาการของภาษาจะควบคู่ไปกับวิวัฒนาการของความคิด
การศึกษาวิวัฒนาการของความคิดเป็นรากฐานให้เข้าใจกระบวนการคิดที่ซับซ้อน
ซึ่งมีขั้นตอนพัฒนาการทางความคิดของเพียเจท์มี 4 ขั้นตอน
ได้แก่ ขั้นที่หนึ่ง คือ รู้จักคิดด้วยประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ, ขั้นที่สอง คือ ขั้นกำหนดความคิดไว้ล่วงหน้า,
ขั้นที่สาม คือ ขั้นใช้ความคิดเชิงรูปธรรม และขั้นที่สี่ คือ
ขั้นใช้ความคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งทั้ง 4
ขั้นนี้ยังมีรายละเอียดย่อยอีกหลายประการ เช่น โครงสร้างของความคิด การเรียนรู้
และรับรู้ หลักการพัฒนาด้านการรับรู้ เป็นต้น
ประโยชน์ของภาษานั้นมีหลายประการ
ในที่นี้ดิฉันจะกล่าวเพียง 3 ประการ คือ ประการแรก
ภาษาเป็นเครื่องมือของสังคมสำหรับใช้เป็นสื่อกลางในการตอบตกลงบอกกล่าว
ทำความเข้าใจกันระหว่างบุคคล ภาษายังเป็นเครื่องมือที่แสดงถึงความสามารถของมนุษย์ตั้งแต่อดีต
ปัจจุบัน และอนาคตได้อีกด้วย, ประการที่สอง
ภาษาเป็นวัสดุสำหรับสร้างสรรค์ศิลปกรรม เพราะภาษามีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ
ทำให้ผู้รับทราบภาษาเกิดการสะเทือนอารมณ์ เกิดความรู้สึกต่าง ๆ และยังเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เข้าใจโลกและชีวิต
และประการสุดท้าย ภาษาเป็นเครื่องมือช่วยให้คิดและวินิจฉัยคุณภาพของสติปัญญา
ภาษาและความคิดถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรา
เพราะภาษาเกิดมาพร้อมกับมนุษย์
เรารู้จักใช้ภาษาตั้งแต่เกิดทั้งภาษาถ้อยคำและไม่ใช่ภาษาถ้อยคำ ดังนั้นภาษาจึงเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมให้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน
เราเรียนรู้ภาษาเพื่อให้เรารู้จักคิดในแบบต่าง ๆ หรือรู้จักดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวันทั้งกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียนและการพักผ่อนหย่อนใจ
หรือการพัฒนาตนเองในมุมต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น